top of page
Recent Posts
Featured Posts

มี่อิง (Mi Ying)

มี่อิง - [ Mi Ying ] Story : ณัฐชยา วงศ์บุญมาก (ฝนมกรา) Illust : St.Cygnus

แม้ ดึกดื่นเพียงใด ตรอกหยกเขียวในนครเอ็นเก็ทสึก็ยังคงคึกคักอยู่เสมอ ริมสองข้างทางห้อยโคมแดงสว่างไสว ผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ในตลาดที่ตั้งขนาบไปจนสุดปลายถนนแผงค้าขายและร้านรวงเนืองแน่นด้วยลูกค้า แม้แต่ร้านสุราเล็กๆในมุมอับ ยังทำมาค้าขึ้นไม่แพ้ภัตตาคารอาหารทะเล บนทำเลทอง ร้านทองพันชั่ง คือร้านสุราบนทำเลอับที่ว่า มันตั้งอยู่ในตรอกหยกเขียวบริเวณท้ายตลาดห่างไกลจากผู้คนและเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ตัวร้านกว้างยาวไม่มากและมีเพียงสองชั้นชั้นล่างมีโต๊ะไม้เจ็ดตัวและชั้นวางไหสุรา โถงกลางร้านเปิดโล่งสูงถึงหลังคา ทำให้ชั้นสองเหลือพื้นที่ใช้สอยอยู่เพียงน้อยนิดตั้งโต๊ะรับรองแขกได้เพียงสามตัวก็แน่นเต็มกลืนแม้จะดูคับแคบไปบ้างแต่บรรยากาศภายในร้านกลับสงบร่มเย็นเหมือนอยู่กลางป่าเขาอีกทั้งวิวทิวทัศน์นอกระเบียงชั้นสองก็งดงามไม่เลว เมื่อบวกรวมกับข้อดีอื่นๆอย่างเหล้าเหมยแดงเลิศรสและเสียงเพลงพิณเสนาะหูก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมร้านทองพันชั่งที่แทบจะไร้ตัวตนในตรอกหยกเขียวถึงมีนักร่ำสุราแวะเวียนมาอยู่เสมอ ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน โต๊ะชั้นล่างมีคนนั่งจับจองอยู่บ้างบางตา มองเผินๆ คล้ายว่าขาดแคลนลูกค้าแต่ความจริงแล้วร้านทองพันชั่งมีผู้คนไหลเวียนเข้าออกไม่เคยขาด คนเก่าไปคนใหม่มาพออิ่มหนำสำราญทุกคนก็แยกย้ายจากไปไร้อาวรณ์ คนที่อยู่กับร้านทองพันชั่งไปตลอดทั้งคืนจึงมีแค่เสี่ยวเอ้อ เถ้าแก่หนุ่มและมี่อิงอีกคนก็เท่านั้น ‘มี่อิง’ คือนักเล่นพิณมือฉมังประจำร้านทองพันชั่ง ในนครเอ็นเก็ทสึจะหานักปราชญ์สักคนสองคนไม่ใช่เรื่องยากแต่จะหาใครสักคนที่มีพรสวรรค์ในการดีดพิณเทียบเท่ามี่อิงนั้นไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าใครที่ได้ยินเพลงพิณของนางร้อยทั้งร้อยเป็นต้องหลงใหลเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนตร์พรสวรรค์ล้ำค่าเช่นนี้หากไม่นับเป็นมือหนึ่งของเอ็นเก็ทสึคงไม่ได้

ในขณะที่เสี่ยวเอ้อและเถ้าแก่กำลังเดินหัวหมุนคอยเอาอกเอาใจลูกค้ามี่อิงเองก็กำลังดีดพิณอยู่หลังม่านบังตาบนชั้นสอง แสงโคมที่ห้อยอยู่ตรงชายคาสาดเข้ามากระทบใบหน้างามหวานแฉล้มผิวของหญิงสาวขาวละเอียดดั่งไข่มุก ดวงตาสีแดงกระจ่างใสเยือกเย็นเหมือนสายน้ำกลางหน้าผากวาดดอกไม้สามกลีบสีแดงสด เกล้าผมครึ่งศีรษะปักปิ่นปะการังปล่อยผมดำเงาที่เหลือให้ทอดยาวอยู่บนแผ่นหลัง ร่างบางอ้อนแอ้นสวมชุดสีแดงชาดแขนกว้างมีจีบรัดรอบเอวนางนั่งพับเพียบอยู่บนเบาะหนานุ่ม นิ้วขาวผ่องเพียรกดดีดพิณเจ็ดสายอย่างตั้งใจเพื่อขับกล่อมลูกค้าในร้านสุราทองพันชั่งให้เมามายด้วยเสียงเพลง กระทั่งล่วงเข้ายามสาม¹ เสียงเคาะไม้บอกเวลาดังขึ้นสามครั้ง ลูกค้าในร้านเริ่มเดินโซเซทยอยกลับบ้านช่อง มี่อิงถือโอกาสนั้นหยุดพักครู่หนึ่งพักจิบชาร้อน ทอดสายตามองออกไปนอกระเบียง

ชั่วขณะนั้น เมฆฝนดำทะมึนตั้งเค้ามาแต่ไกล เสี้ยวจันทร์เล็กแหลมถูกกลืนหายไปในม่านหมอกกระแสอากาศเย็นยะเยือกพัดพากลิ่นแปลกประหลาดเข้ามาในร้านสุราที่สงบเงียบกลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นน้ำฝน... มี่อิงสูดลมหายใจลึก เผลออมยิ้มมุมปากกลิ่นนี้ช่างชวนให้นางนึกถึงวันวานในอดีต และสาเหตุที่ชักนำนางมาเป็นมือพิณประจำร้านทองพันชั่ง เมื่อก่อนนางไม่ได้ชื่อมี่อิง นามดั้งเดิมของนางคือมิซากิพ่อของนางเคยเล่าให้ฟังว่าฤดูใบไม้ร่วงที่นางเกิดที่ราบบนหน้าผาริมทะเลมีดอกฮิกังบานะบานสะพรั่งเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยดอกไม้สีแดงสดสวย สามารถมองเห็นได้ไกลแม้ลอยคออยู่กลางทะเลด้วยเหตุนี้ นางจึงได้ชื่อว่า ‘มิซากิ’ ซึ่งหมายถึงดอกไม้งาม ครอบครัวของนางมีกันอยู่เจ็ดคน ประกอบด้วยพ่อแม่ พี่สาวน้องสาวอีกสี่และตัวนางที่เป็นบุตรสาวคนกลางของบ้าน พวกนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเอ็นโยที่ตั้งอยู่ในหุบเขาใต้ทะเลลึกมีผืนทรายเป็นพื้นดิน มีห้วงน้ำเค็มกว้างไพศาลเป็นท้องฟ้า และมีฝูงปลาหลากสีสันเป็นนกน้อยที่โบยบินอยู่ในอากาศฟังคล้ายเป็นเรื่องเหลือเชื่อทว่านี่คือสิ่งสามัญธรรมดาสำหรับเผ่าพันธุ์นินเงียวหรือเงือก...สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งมัจฉาอย่างนางชาวนินเงียวอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ปลูกสร้างบ้านเรือนใกล้ๆ กันจนกลายเป็นหมู่บ้านพวกเขาไม่ติดต่อกับเผ่าพันธุ์ใดๆ บนบก ผ่านไปหลายร้อยปีก็ถูกผู้คนโลกภายนอกลืมเลือนโดยสิ้นเชิงนินเงียวส่วนใหญ่มีผมและเกล็ดหางสีฟ้าหรือสีเขียว ผิวขาวมุก ดวงตาสีสดสวยเหมือนน้ำทะเลแต่นางกลับแตกต่างจากคนอื่น เกล็ดหางของนางมีสีแดงส้มเหมือนเปลวเพลิง นัยน์ตาสีแดง ผมดำสั้นกุดอยู่บนต้นคอเนื้อตัวผอมกระหร่องไม่อวบอิ่ม เมื่อเทียบกับนินเงียวทั่วไปแล้ว นางจึงเป็นนินเงียวที่ขี้เหร่ที่สุดในหมู่บ้าน ทว่าไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาที่ผิดแปลก แม้แต่นิสัยของนางก็แตกต่างจากคนอื่นด้วย นางไม่ร่าเริงสดใสไม่ห่วงสวยเอาแต่ส่องกระจกหวีผมเหมือนนินเงียวสาวตนอื่นๆ นิสัยของนางเงียบขรึมเยือกเย็นซ้ำยังชอบขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนหาดทราย นอนเล่นอยู่กลางทุ่งดอกไม้และผีเสื้อมากกว่าจะว่ายน้ำอยู่ในกอปะการังกับฝูงปลา ปีที่นางอายุอย่างสิบห้า ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นมีแต่ฝน พายุใหญ่ทำท้องทะเลปั่นป่วนอยู่นานหลายวัน หลังพายุผ่านพ้นนางลอยตัวขึ้นมารับแสงตะวันอยู่กลางทะเล สังเกตเห็นผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหญ้าเขียวบัดนี้กลายเป็นสีแดงเพราะดอกฮิกังบานะ วิวทิวทัศน์นี้นี่เองที่พ่อของนางได้เห็นในวันที่นางเกิดด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงอยากเห็นดอกไม้ใกล้ๆ นางแอบหนีขึ้นมาบนบกตามลำพัง ปลายหางปลาสีแดงส้มกลายเป็นขาและเท้าสองขาแบบมนุษย์พานางขึ้นไปยังทุ่งดอกไม้บนผาสูง นินเงียวในหมู่บ้านนางเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่าดอกไม้คนตายเพราะเชื่อว่ามันเติบโตในนรกภูมิเพื่อนำทางวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ความไม่เป็นมงคลทุกคนมักขนลุกขนชันเมื่อพูดถึง แต่เด็กสาวผู้แปลกประหลาดกลับไม่คิดว่ามันน่ากลัวตรงไหนนางรู้แต่ว่ามันสวยดีจึงเด็ดมาถือไว้แนบอก และล้มตัวลงนอนงีบอยู่กลางทะเลดอกไม้สีแดงไปตลอดบ่ายชั่วขณะนั้น...นางไม่ได้เอะใจเลยว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น เสียงฟ้าผ่าดังลั่น ปลุกเด็กสาวให้สะดุ้งตื่นจากการหลับใหลยามนั้นท้องฟ้ามืดมิด ลมพัดแรงจนกลีบดอกไม้หลุดปลิวว่อน เมฆดำรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่แสงอัสนีสีขาวฟาดเปรี้ยงเดือดดาลอยู่เหนือศีรษะนาง กลิ่นคาวเลือดโชยแฝงมากับกลิ่นฝนตอนนั้นเองที่ลางสังหรณ์บางอย่างบีบรัดหัวใจนางจนเจ็บร้าว นางวิ่งไปที่ริมหน้าผาชะโงกมองท้องทะเลเห็นแสงไฟและควันสีเทาลอยมาจากทะเลทางทิศตะวันออก...บริเวณที่หมู่บ้านเอ็นโยตั้งอยู่ เด็กสาวไม่รอช้ารีบกระโจนลงจากหน้าผาลงสู่ท้องทะเลทันทีที่ร่างสัมผัสน้ำเรียวขาพลันกลายเป็นหางมัจฉา นางดำลงใต้น้ำว่ายกลับหมู่บ้านครั้นพอเข้าไปใกล้หุบเขาใต้น้ำ ทัศนวิสัยเริ่มย่ำแย่ ทรายขาวฟุ้งกระจายผิดปกติ น้ำทะเลแปรปรวนขุ่นข้นยากแก่การมองเห็นมิหน่ำซ้ำยังมีตาข่ายเหนียวกั้นขวางเป็นทางยาวล้อมรอบหมู่บ้าน ฉีกอย่างไรก็ไม่ขาด นางจึงโบกหางว่ายขึ้นมาผิวน้ำสิ่งแรกที่นางเห็นหลังโผล่พ้นน้ำคือภาพอันโหดร้ายราวอยู่ในขุมนรก น้ำทะเลเดือดคลั่งกลายเป็นสีเลือดมันคาวข้นจนนางสำลัก ได้ยินเสียงระเบิด เสียงน้ำกระเซ็นกระสาย และเสียงร่ำไห้ร้องขอชีวิตดังระงมไปหมดเหนือศีรษะนางมีเงาดำขนาดใหญ่ของเรือสำเภาลำยักษ์ เด็กสาวว่ายไปแอบชิดติดกราบเรือที่แกะสลักรูปปลากระโดดอยู่ในเกลียวคลื่นสังเกตเห็นว่ามันจอดนิ่งสงบอยู่นอกวงล้อมของตาข่ายที่ขึงไว้รอบหมู่บ้านผิดกับเรือพายขนาดเล็กจำนวนมากที่เคลื่อนไหวเร็วรี่อยู่ข้างใน แสงโคมไฟของแต่ละลำสาดส่องให้เห็นคนบนเรือพวกมันดูไม่เหมือนชาวประมง สวมชุดดำปิดหน้าปิดตา อาวุธในมือไม่ใช่คันเบ็ดหรือแหแต่เป็นฉมวกและมีดสั้นที่คัญ... เหยื่อของพวกมันไม่ใช่ปลา แต่เป็นนินเงียว! พวกมันใช้ระเบิดใต้น้ำหย่อนลงไปเหนือหมู่บ้านเอ็นโย ไล่ต้อนพวกนินเงียวออกจากห้องหับพอมัจฉาขี้ตื่นว่ายปรี่หนีก็ติดตาข่ายที่วางดักไว้ บางตนรู้ทันหนีขึ้นผิวน้ำ คิดว่ารอดแน่แล้วแต่กลับถูกฉมวกแทงใส่จนตายร่างครึ่งคนครึ่งปลาถูกลากขึ้นไปกองทับถมกันบนเรือเหมือนปลา ที่มนุษย์ขายอยู่ตามท้องตลาด นินเงียวน้อยตัวสั่นสะท้าน หวาดกลัวจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทรงตัว นางมองหาครอบครัวตัวเองท่ามกลางทะเลเลือด พลันเห็นเกล็ดหางสีคุ้นตาของพ่อแม่พี่น้องอยู่บนเรือพายลำหนึ่งพวกเขาแน่นิ่งไม่ไหวติง ผิวขาวนวลของลำตัวครึ่งบนเปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงฉานมิหนำซ้ำคนชุดดำบนเรือลำนั้นก็กำลังลากพี่สาวคนโตของนางที่ติดอยู่ในตาข่ายขึ้นไปบนเรือด้วย พี่สาวนางร้องไห้และดิ้นรนต่อสู้เพื่อกลับลงไปใต้น้ำ “พี่จ๋า...” เด็กสาวกระโดดข้ามตาข่ายที่ขึงเอาไว้สูงพ้นน้ำ ว่ายปรี่เข้าไปที่เรือลำนั้นหลบหลีกอวนที่ลากผ่านและแรงระเบิดร้อนผ่าวใต้น้ำ พุ่งไปกอดคว้าหางพี่สาวดึงกลับลงมาจากเรือ “มิซากิ!” พี่สาวเห็นนางแล้ว โชคร้ายคนบนเรือก็เห็นนางเช่นกันชายคนนั้นใช้ฉมวกจ้วงแทงลงมาใต้น้ำ ปลายแหลมฝังลึกบนไหล่ขาวนางเจ็บจนน้ำตาไหลเผลอปล่อยพี่สาวหลุดมือ ทำให้ร่างครึ่งมัจฉาหางสีเขียวโดนดึงขึ้นเรือไปต่อหน้าต่อตา เด็กสาวตกใจมัวแต่ไล่ตามคว้าตัวพี่สาว นางไม่เห็นตาข่ายที่ถูกเหวี่ยงลงมาอีกครั้ง ซึ่งหนนี้เป้าหมายอยู่ที่ตัวนาง พี่สาวที่อยู่บนเรือด้านบนเห็นว่านางตกอยู่ในอันตรายก็ไม่รอช้าหางสีเขียวสวยฟาดตีเข้าใส่แผ่นหลังของคนบนเรือเต็มแรงจนมันล้มคะมำ ชายชุดดำโกรธจัดจนดวงตาแผดแสงจ้ามันเอาฉมวกแทงเข้าที่กลางอกของพี่สาวนาง ในเวลานั้นเด็กสาวได้แต่เกาะกราบเรือแล้วอ้าปากค้างมองเลือดที่ท่วมร่างพี่สาวอย่างตกตะลึง “หนีไป” พี่สาวขยับปากบอกนางก่อนจะหมดลมนินเงียวน้อยพลันได้สติ พลิ้วกายโบกหางคิดจะหนี แต่กลับถูกท่อนแขนแข็งรัดเข้าที่คอแล้วดึงลากขึ้นเรือนางสู้ยิบตาแบบไม่ยอมแพ้ หางที่พาดอยู่ตรงกราบเรือสะบัดรุนแรงจนเรือไหวโคลงเคลงทั้งตบตีจิกข่วนจนมือไปเกี่ยวเอาผ้าปิดบังใบหน้าของชายชุดดำหลุดออกนางเห็นหน้ามันแล้ว... ฆาตกรหยาบช้าที่ฆ่าครอบครัวนางใบหน้าคมสัน ผิวขาวจัด ดวงตาสีอ่อนชวนให้หนาวจับจิตผิวกายของนางสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวระคนข้นแค้น มือคว้ามีดสั้นจากเอวชายผู้นั้นตวัดปาดผ่านใบหน้ามันจนเลือดอาบ คนชุดดำผงะถอย สวนกลับด้วยด้ามฉมวก นางถูกฟาดเข้าที่ศีรษะจนสิ้นสติไปในทันที เด็กสาวครึ่งมัจฉาจมลงสู่ห้วงอรรณพ หางสีแดงส้มสะท้อนแสงไฟอยู่ในทะเลเลือดกระแสคลื่นพัดพาร่างอ่อนเหลวของนางเข้าไปใต้แผ่นปะการังขนาดใหญ่ อันตรายใดๆ จึงไม่อาจกร่ำกลายมาถึง นางเป็นนินเงียวเพียงตนเดียวที่รอดมาได้ในคืนนั้น เช้าวันถัดมา นางนอนแผ่อยู่บนผืนทรายใต้ปะการังสีขาว ในมือยังกำมีดสั้นของฆาตกรผู้นั้นเอาไว้แน่นเมื่อนำพิจดูอย่างละเอียด พบว่ามีดเล่มนั้นคมกริบ ด้ามทำจากไม้แกะสลักรูปดอกบัวบานด้วยความที่หมู่บ้านเอ็นโยตัดขาดจากโลกภายนอกมานาน นางจึงไม่รู้ว่าลายดอกบัวบานนี้มีความหมายอย่างไรไม่รู้ว่ามันบ่งบอกถึงสังกัดหรือหน่วยงานใดในทวีปแชงกรีล่าหรือเปล่า แต่เท่าที่รู้... นางโกรธแค้นมาก พ่อแม่พี่น้องตายจากคนในหมู่บ้านเดียวกันถูกสังหารสิ้น ความโศกเศร้าโดดเดี่ยวยังมิรุนแรงเท่าความแค้นเคืองที่สุมร้อนอยู่ในอกเด็กสาวพาตัวเองกลับไปที่หมู่บ้าน ที่นั่นไม่เหลือใครเลย บ้านหินปะการังพังทลายเพราะแรงระเบิดกอสาหร่ายขาดวิ่น ฝูงปลาสีสันสวยงามหลบเงียบอยู่ใต้ซอกหิน ในน้ำทะเลเยียบเย็นเสียดกระดูกมีเกล็ดเงือกลอยละล่องมองไปทางไหนก็เห็นเศษชิ้นส่วนร่างกายของเหล่าครึ่งมัจฉาเกลื่อนกระจายเต็มพื้นทราย สิ่งที่ได้เห็นทำให้หัวใจนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี หลังร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตานางคว้าพิณเจ็ดสายของมารดาแบกขึ้นหลัง ก่อนจะละทิ้งหมู่บ้านว่างเปล่าไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองอีก นินเงียวหางสีแดงเพลิงพลิกกายเชื่องช้าอยู่บนหาดหินแหลมคมทันทีที่แสงตะวันแผดเผาความชิ้นและหยาดน้ำจนเกล็ดแห้งผาก หางปลาเพรียวบางก็กลายเป็นเรียวขาขาวซีดสองข้างนางเริ่มเดินไปเรื่อยๆ ตามทางหินกรวด คิดแบบเด็กๆ ว่าจะหาหมู่บ้านสักแห่งเพื่อสืบหาที่มาของมีดสั้นลายดอกบัวเล่มนั้น หารู้ไม่ว่าท้องทะเลที่นางอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรร้างที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ในปัจจุบันมีแต่สิงสาราสัตว์ ทว่าไม่มีมนุษย์หรือปีศาจเผ่าพันธุ์ใดๆ อาศัยอยู่เด็กสาวครึ่งมัจฉาเดินทั้งวันและคืนไม่ยอมหยุดพัก นับจากตะวันขึ้นและตกดินนี่ก็ผ่านไปห้าวันแล้วฝ่าเท้านางพุพองเจ็บปวด ผิวขาวแดงก่ำเพราะถูกแดดเผา แผลบนไหล่นางบวมแดงกลัดหนองตั้งแต่วันที่สามอาการอักเสบทำให้นางตัวร้อนมีไข้ตลอดเวลา พอตกเย็นวันที่ห้า นางก็ล้มลงสิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่พื้นร้อนฉ่าขณะที่คิดว่าตนคงตายเป็นปลาแดดเดียวแน่แล้ว เกวียนเล่มหนึ่งกลับห้อตะบึงมาทางนี้พอดีมีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่ว ใครบางคนวิ่งมาหา นางปรือตามองใบหน้าที่ไม่คุ้นตาได้เพียงเดี๋ยวเดียว จู่ๆ ก็หมดสติไป เด็กสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งบนฟูกหนานุ่มขวามือคือม่านฝนที่โปรยปรายอยู่นอกประตูระเบียงที่เปิดกว้างออกสู่สวนหิน ซ้ายมือคือผนังแขวนภาพเขียนพู่กันอ่อนช้อยมุมห้องใกล้ๆ กันมีอ่างบัวสายสีชมพูม่วงงดงามประดับอยู่ “ฟื้นแล้วหรือ” หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามานั่งข้างฟูกผู้ป่วยนางตาพร่าลายเพราะอาภรณ์สีม่วงครามปักลายผีเสื้อหรูหราจึงเลื่อนสายตาไปที่ใบหน้างามหยดของสตรีแปลกหน้า มองดูเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระสะโพก ดวงตาเรียวสีเหลืองทองและหูแมวสีขาวอย่างงุนงง “ท่าน...ช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ” นางถามพลางค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นจากหมอน พบว่าตนสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อนุ่มบาดแผลบนไหล่ถูกทำความสะอาด แม้แต่ฝ่าเท้าสองข้างก็มีผ้าพันแผลห่อไว้เรียบร้อย “ใช่ ข้าช่วยเจ้าไว้เอง เจ้าสลบอยู่ริมทาง ข้าเลยพาเจ้ากลับมาที่หมู่บ้าน” หญิงสาวขยับกายมาใกล้มือนุ่มเย็นช่วยพยุงนางขึ้นจากฟูก ป้อนยารสขมจัดให้ถึงปาก ตามด้วยการส่งน้ำชาให้ดื่ม “ข้าชื่อซุยเรนที่นี่คือหมู่บ้านเนโกะของเผ่าแมว เจ้าคงเดินมาไกลมาก เท้าถึงได้พุพองไปหมด เจ้ามาจากหมู่บ้านไหนกันล่ะ” “หมู่บ้านเอ็นโยเจ้าค่ะ” “เอ็นโย? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านนั้นมาก่อน” ซุนเรนทำหน้าฉงน “ไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้จัก หมู่บ้านของข้าอยู่ใต้ทะเลเจ้าค่ะ” เด็กสาวราดน้ำชารดบนน่องขากระทั่งผิวหนังกลายเป็นเกล็ดสีแดงเพลิง จากสองขาเปลี่ยนเป็นหนึ่งหาง อันเป็นจุดเด่นของเผ่าครึ่งมัจฉา “เจ้าเป็นนินเงียวหรือ” ซุยเรนทำตาโต มือนุ่มเนียนจับๆ คลำๆ เกล็ดหางนางด้วยความสนใจ “เจ้าค่ะ ข้าเป็นนินเงียว ชื่อมิซากิ” ทวีปแชงกรีล่าเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับอัศจรรย์ที่มีชนเผ่าหลากหลายอาศัยอยู่ ตอนเด็กๆซุยเรนเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง ว่าทะเลทางทิศตะวันออกของทวีปมีเผ่าครึ่งคนครึ่งมัจฉาอาศัยอยู่พวกนินเงียวนั้นรักสงบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันนี้นางจะได้เห็นนินเงียวตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า “แล้วทำไมเจ้าขึ้นมาเดินอยู่บนฝั่งไกลจากทะเลขนาดนี้ หลงทางหรือเปล่าแม่หนู” “เปล่าเจ้าค่ะ” นางสั่นหน้าปฏิเสธ น้ำตาคลอหน่วย “เมื่อหลายคืนก่อนหมู่บ้านของข้าถูกพวกคนชุดดำโจมตีมันฆ่าพ่อแม่พี่น้องและคนในหมู่บ้านของข้าจนหมด มีแค่ข้าที่หนีรอดมาได้” “โหดร้ายจริง” ซุยเรนอุทานก่อนถามเสียงเครียด “พวกชุดดำนั่นเป็นคนของที่ไหน” “ข้าไม่รู้จักพวกมัน แต่ว่าเก็บสิ่งนี้มาได้...” มี่อิงส่งมีดสั้นให้ซุยเรนรับไปพลิกดูนางเฝ้ามองนิ้วเรียวยาวที่ลูบไล้อยู่บนรอยแกะสลักรูปบัวบานบนด้ามมีดอย่างตั้งใจ “สัญลักษณ์แบบนี้เป็นของคนตำหนักบัวบานไม่ผิดแน่” หญิงสาวเผ่าแมวรำพึง “จะว่าไป...เมื่อไม่กี่วันก่อนมีชายท่าทางลับๆ ล่อๆ คนหนึ่งมาที่หมู่บ้านข้าป่าวประกาศหามือสังหารจำนวนมากไปทำงานอันตรายบางอย่างที่ทะเลตะวันออก ค่าตอบแทนเป็นทองสิบหีบ ทว่าคนเผ่าแมวล้วนไม่ถูกกับน้ำ งานกับทองก้อนโตคงตกไปอยู่กับพวกตำหนักบัวบานแทนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นงานชั่วช้าแบบนี้ มิซากิ...นินเงียวในหมู่บ้านเจ้าไปมีความแค้นกับใครไว้หรือเปล่า” “ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ” นางตอบพลางนึกสงสัยในสิ่งที่ได้ฟัง “ท่านทราบไหมเจ้าคะว่าชายที่มาหาคนที่นี่เป็นใคร ”“เจ้าถามไปทำไมรึ คงไม่ได้คิดจะไปล้างแค้นให้คนในหมู่บ้านใช่ไหม” ซุยเรนมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “มิผิดเจ้าค่ะ” เด็กสาวค้อมศีรษะลงต่ำให้ซุยเรน ซ่อนแววตาร้อนรุ่มโทสะ “ท่านซุยเรนข้าน้อยขอขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ บุญคุณนี้สักวันมิซากิจะกลับมาทดแทนแน่เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว”กล่าวจบ นางก็พยายามจะลุกขึ้นยืนเตรียมตัวไปต่อ แต่ซุยเรนกลับกดไหล่นางบังคับให้นอนลง “เจ้าวู่วามไปก็เท่านั้น มือสังหารของตำหนักบัวบานโหดเหี้ยมไร้หัวใจ เจ้าในตอนนี้จะทำอะไรมันได้” “แล้ว...แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ตอนนี้ข้ามืดแปดด้านไปหมดแล้ว” นางกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อวานซืนนางยังได้อยู่กับครอบครัว ไม่เคยคิดเลยว่าจู่ๆ จะเสียทุกคนไปอย่างกะทันหัน เด็กน้อยอย่างนางไหนเลยจะทนได้ “อย่าเศร้าไปเลยนะ” ซุยเรนลูบศีรษะปลอบโยนนินเงียวน้อยด้วยความสงสารดวงตาเรียวงามสีเหลืองทองพลันเหลือบไปเห็นพิณเจ็ดสายที่ห่อไว้ด้วยผ้าไหมปักเลื่อมดูคล้ายเกล็ดปลาโดยบังเอิญ “ข้าเป็นนักเล่นพิณ กำลังหาศิษย์สืบทอดวิชาอยู่พอดี เจ้าอยากอยู่กับข้าก่อนไหมล่ะ”“ข้าอยู่กับท่านได้หรือเจ้าคะ” เด็กสาวสะอึกสะอื้นมองผู้มีพระคุณด้วยแววตาไม่แน่ใจ “ย่อมได้ แต่เพื่อความปลอดภัยเจ้าควรเปลี่ยนชื่อแซ่เสียใหม่” ซุยเรนยิ้มอ่อนโยนพลางส่งมีดคืนให้นาง “จากนี้ไปเจ้าชื่อมี่อิงแล้วกัน เจ้าเกิดที่หมู่บ้านหยุนจิ่ง มีพ่อแม่เป็นชาวนา ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์สามารถเล่นดนตรีได้จึงรับตัวเจ้ามาเป็นศิษย์ ต่อไปก็เรียกข้าว่าอาจารย์ ตั้งใจฝึกฝนตัวเองให้ดีรับรองว่าสักวันความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริงแน่นอน” นินเงียวน้อยรู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก นางฝืนลุกจากฟูกนอนขึ้นมาคุกเข่าก้มศีรษะลงต่ำจนหน้าผากจรดผืนเสื่อคำนับซุยเรนเป็นอาจารย์ และปล่อยให้ชื่อมิซากิตายไปนับแต่บัดนั้น เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งกว่าสายน้ำไหล เพียงห้าปีหลังจากนั้น ครึ่งมัจฉาแสนขี้เหร่เติบใหญ่เป็นนักเล่นพิณคนงามที่ใครๆ ก็หลงรัก แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่านักเล่นพิณตามโรงน้ำชาอย่าง มี่อิง พอตกกลางคืนนางต้องคอยติดตามอาจารย์ไปทำงานอันตราย ตอนที่มี่อิงคำนับซุยเรนเป็นอาจารย์ นางไม่รู้มาก่อนว่าหญิงเผ่าแมวมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรกระทั่งได้ใช้เวลาด้วยกันอยู่นานถึงได้ทราบว่าอาชีพเล่นพิณเป็นเพียงฉากหน้าของนินจาหญิงมือฉมังแห่งหมู่บ้านเนโกะเท่านั้น ล่าสุดซุยเรนรับงานชิ้นหนึ่งมาจากนายจ้างขาประจำ สองศิษย์อาจารย์จึงต้องแฝงตัวเข้ามาทำงานในโรงน้ำชาเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองเสียน พวกนางซุ่มคอยอยู่นานสองสัปดาห์กว่ากลุ่มเป้าหมายจะปรากฏขึ้นคืนจันทร์ดับ สายลมพัดแรง พายุร้ายจากอ่าวกักวิญญาณกำลังจะพัดขึ้นฝั่งทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งขี่ม้าเข้ามาในเมืองเสียนอย่างเงียบเชียบ พวกมันเลือกพักแรมในโรงน้ำชาเล็กๆ ไม่สะดุดตาผู้คนเช่าเหมาทั้งร้านเอาไว้ดื่มกินพักผ่อนแต่เพียงเฉพาะกลุ่ม หน้าประตูปิดสนิทมียามเฝ้ารัดกุมสุราและอาหารถูกตรวจสอบก่อนออกจากครัว แม้แต่นักดนตรีอย่างซุยเรนกับมี่อิงก็ถูกซักประวัติและตรวจค้นเสื้อผ้าอย่างละเอียดกว่าจะได้เข้ามานั่งเล่นดนตรีเฉิดฉายเหมือนในตอนนี้ ซุยเรนแสร้งชะม้อยตาหวานให้ทหารหนุ่มต่างถิ่น ในขณะที่มี่อิงขยับนิ้วดีดสายพิณด้วยท่วงท่างดงามเสียงพิณอ่อนหวานของนางสอดประสานอยู่กับเสียงกังวานใสของพิณผีพาในมือของซุยเรน เกิดเป็นเพลงคึกคักสนุกสนานทำให้บรรยากาศในห้องนั้นครึกครื้นยิ่งนักกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยามซุยเรนแสร้งทำท่าอ่อนล้า จงใจผ่อนทำนองสดใสให้เชื่องช้า มี่อิงเหลือบมองหน้าอาจารย์ด้วยหางตา เห็นซุยเรนใช้นิ้วชี้แตะที่ใบหู นางก็รู้ว่าใกล้ได้เวลาเริ่มงานที่แท้จริง หญิงสาวพรมปลายนิ้วลงบนพิณเจ็ดสายอย่างแผ่วเบา เสียงอ่อนหวานร่าเริงพลันทุ้มต่ำลงฟังคล้ายเสียงครางของวาฬยักษ์ใต้มหาสมุทร เสียงเพลงของนินเงียวไม่ว่าเสียงร้องหรือเสียงดนตรีล้วนมีมนตราแฝงอยู่ทั้งนั้น บางเพลงทำให้คนหลงคลั่งไคล้ขาดสติบางเพลงทำให้ทุกข์ทรมานดั่งตายทั้งเป็น แต่เพลงนี้ของมี่อิง ทำให้ผู้คนในโรงน้ำชา ทั้งเถ้าแก่เนี้ย เสี่ยวเอ้อ พ่อครัวและกลุ่มทหารรับจ้างสิบกว่าคนหลับใหลไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “เล่นต่อไปนะ” ซุยเรนกระซิบบอกขณะวางพิณผีพาลงบนเบาะนั่งอย่างเบามือร่างปราดเปรียวแอบลักลอบขึ้นไปยังชั้นสองของโรงน้ำชาเพื่อไปทำภารกิจบางอย่าง ทิ้งนางไว้ให้ดีดพิณร่ายมนตร์หลับต่อไปเพียงพริบตาเดียว ซุยเรนก็เดินย่องกลับลงมาพร้อมห่อผ้าสีขาว ห่อนั้นถูกซุกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อเมื่ออาจารย์กลับมานั่งประจำที่ พยักหน้าให้นางพลางแกะขี้ผึ้งอุดหูออก มี่อิงจึงหยุดบรรเลงเพลงมนตร์ปลุกผู้คนให้ตื่นจากห้วงนิทราด้วยเพลงพื้นบ้านของเมืองเสียนที่อ่อนหวานน่าฟัง เหล่าทหารรับจ้างตื่นขึ้นมาดื่มกินสังสรรค์กันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเคยหลับไปครู่หนึ่งระหว่างกรอกสุราเข้าปากและ กว่าพวกมันจะรู้ตัวว่าว่ามีอะไรหายไป มี่อิงกับซุยเรนก็คงหนีไปไกลลิบแล้ว... “สิ่งของในห่อนั้นคืออะไรหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์” มี่อิงมองห่อผ้าไหมที่ซุยเรนกำลังถืออย่างถนอมด้วยความสงสัยเวลานั้นพวกนางศิษย์อาจารย์กลับมาซ่อนตัวที่ห้องพักอย่างปลอดภัยแล้วเพียงแต่นางก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอาจารย์พานางไปขโมยสิ่งใดกลับมา “นี่น่ะหรือ” ซุยเรนเปิดห่อผ้าให้นางดู ข้างในเป็นท้อสีชมพูอวบอิ่มสามผล “มันคือท้อพันปี ว่ากันว่าออกผลทุกๆหนึ่งพันปี กินแล้วจะเป็นอมตะดั่งเทพเซียน ปีนี้ออกมาเพียงสามผล พวกทหารรับจ้างนั่นลักลอบเข้าไปในป่าหยกมณีฆ่าปีศาจจิ้งจอกที่ดูแลสวนท้อแล้วชิงเจ้าท้อสามลูกนี้มา เตรียมส่งขึ้นสำเภาไปเกาะแพคเจ” “แล้วท่านก็ขโมยท้อนี้ไปให้นายจ้างอีกที” มี่อิงเลิกคิ้ว จะว่าไปนางไม่ค่อยชอบงานสกปรกของอาจารย์นัก “เฮ้อ จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ซุยเรนทำหน้าเหนื่อยหน่าย “นายจ้างของเราจะกินท้อทั้งทีกลับใช้คนไปหาซื้อที่ตลาดไม่เป็น ต้องมาลำบากจ้างข้าไปขโมยมาให้พวกคนรวยนี่ช่างเรื่องมากกันจริงๆ” ถึงจะบ่นไม่หยุดแต่อาจารย์ของนางก็ยังเอาผ้าไหมผืนใหม่ห่อท้อแล้วเก็บลงหีบเก็บอย่างดีมี่อิงทอดมองอาการปากไม่ตรงกับใจของซุยเรนอย่างระอา นางถอนหายใจยาวก่อนหยิบพิณขึ้นมากรีดเล่นไปเรื่อยเปื่อยด้วยใจเหม่อลอย ห้าปีที่ผ่านมานางได้ซุยเรนชุบเลี้ยงสั่งสอน ทั้งเพลงพิณและวิชานินจาแทรกซึมเข้าไปในกระดูกนางอย่างเข้มข้นชนิดที่ว่าต่อให้ละเมออยู่ก็สามารถดีดพิณได้เป็นเพลง ตวัดมีดฆ่าคนได้โดยไม่ต้องลืมตา แต่กระนั้นซุยเรนยังไม่เคยวางใจพอจะปล่อยนางออกไปแก้แค้นคนตำหนักบัวบานให้ครอบครัวเสียที แม้จะถูกสอนให้ปล่อยวางความแค้นแล้วตั้งมั่นอยู่กับการฝึกฝน แต่ก็ใช่ว่าเพลิงแค้นในใจนางจะมอดดับได้ง่ายๆ ระหว่างที่อยู่ในหมู่บ้านเนโกะ มี่อิงไม่เคยลืมใบหน้าของฆาตกรคนนั้นนางสืบหาข่าวสารจากมิตรสหายเผ่าแมวที่มีเส้นสายกว้างขวางอยู่ตลอดกระทั่งได้ข่าวว่าพบเรือสำเภาลำหนึ่งจอดเทียบท่าอยู่ในเมืองเสียนมันมีลักษณะบางประการตรงกับเรือสำเภาลำที่นางเห็นในคืนวิปโยคนั่นพอดี ไหนๆ ก็มาเมืองเสียนแล้วนางอยากไปดูเรือสำเภานั่นด้วยตาตัวเองสักครั้ง “คืนนี้ข้าใจไม่สงบเลย ข้าขอตัวไปเดินเล่นแถวนี้สักครู่นะเจ้าคะท่านอาจารย์” มี่อิงเอ่ยปากขอ “เจ้าไปเถอะ” ซุยเรนลอบพิจารณาสีหน้าเรียบเฉยไร้พิรุธของลูกศิษย์ แม้ไม่เอ่ยปากห้ามรั้งแต่แววตากลับฉายชัดว่าห่วงใย “อย่ากลับช้านัก พรุ่งนี้เราต้องรีบออกเดินทางแต่เช้า” “เจ้าค่ะ”ก่อนพายุจะมา นินเงียวสาวแฝงกายอยู่ในเงามืดบริเวณท่าเรือเมืองเสียนร่างผอมบางกระโดดจากเสากระโดงเรือเสาหนึ่งไปยังอีกเสาที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งก่อนจะยอบตัวลงต่ำซ่อนกายอยู่หลังใบเรือของสำเภาลำหนึ่งเวลานี้ชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างหลับใหลอยู่บนเตียง แต่พวกกะลาสีกลับยังทำงานอยู่ที่ท่าเรือพวกมันตะโกนโหวกเหวกคุยกันแข่งเสียงคลื่นลม เรือสำเภาใหญ่ลำหนึ่งกำลังจะออกจากท่าในขณะที่เรือประมงอีกลำกำลังลอยเอื่อยๆ เข้ามาหาฝั่ง มี่อิงเมินหน้าหนีภาพปลาเป็นดิ้นกระแด่วๆอยู่ในถังไม้บนเรือประมง พลันเหลือบไปเห็นเรือสำเภารูปร่างคุ้นตาลำหนึ่งจอดเทียบท่าอยู่ไม่ไกลทางทิศเหนือร่างผอมบางในชุดสีดำแนบเนื้อพลิ้วกายลงจากเสากระโดงเรือเดินย่องไปตามสะพานไม้เก่าง่อนแง่นด้วยฝีเท้าเงียบกริบไปหยุดอยู่ข้างเรือสำเภาลำนั้นนางแหงนหน้ามองมัน มือคลำไปตามลวดลายปลากระโดดอยู่ในเกลียวคลื่น แม้จะถูกแปลงโฉมทาสีตกแต่งใหม่แต่นางยังจำได้แม่นว่ามันคือเรือสำเภาที่ขน มือสังหารไปบุกหมู่บ้านนางในคืนนั้น “เฮ้ย นั่นใครน่ะ คิดจะขโมยของบนเรือข้าหรือไง!” เสียงตะโกนแข็งกร้าวทำให้มี่อิงสะดุ้งหลุดจากภวังค์ท่อนไม้หนาหนักท่อนหนึ่งหวดเข้าหาศีรษะผู้บุกรุก มี่อิงก้มหลบว่องไววาดเท้าเตะเข้ากกหูจนชายร่างยักษ์จนล้มตึงลงกับพื้น เมื่อชายอีกคนปรี่เข้ามาจะแทงนางด้วยมีดหญิงสาวก็หักกระดูกแขนมัน ยึดมีดไว้แล้วผลักร่างเหม็นเหล้าลงไปในน้ำก่อนจะเคลื่อนกายไปคว้าตัวชายแก่ร่างอ้วนท้วมอีกคนที่กำลังวิ่งหนีเอาไว้ “แม่นางโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” มันเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัวเมื่อถูกมีดจี้ไว้บนลำคอ “นี่เรือของเจ้าหรือเปล่า” มี่อิงถามถึงเรือสำเภาลำนั้น “ใช่ๆ นี่เป็นเรือของข้าเองแม่นาง ข้าเป็นไต้ก๋งเรือลำนี้” “ดี ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย” มี่อิงทาบใบมีดลงบนลำคอของไต้ก๋งใช้ความเย็นเยียบของมีดขู่ให้คนกลัวเล่น “เมื่อห้าปีก่อนเรือลำนี้เคยล่องไปทำเรื่องป่าเถื่อนกับพวกครึ่งมัจฉาที่ทะเลตะวันออกใช่ไหม สารภาพมา!” “ใช่ๆๆ!”ไต้ก๋งละล่ำละลักสารภาพ “ตอนนั้นมีคนมาจ้างข้าให้พาไปที่นั่นมันพาพวกมือสังหารไปฆ่าพวกครึ่งปลาเป็นเบือเลย แต่ข้าสาบานได้ คืนนั้นข้าไม่ได้ฆ่าใครเลยนะแม่นาง” “คนที่พามือสังหารมาคือใคร แล้วหลังจากเรือกลับมาเทียบท่าที่นี่ พวกมันไปที่ไหนกันต่อ” มี่อิงกดมีดขู่เสียงกระซิบถามลอดไรฟันชักเยียบเย็นส่อแววหงุดหงิดขึ้นทุกที “อ๊าก!” ไต้ก๋งร้องลั่นตาเหลือก รู้สึกเจ็บแปลบที่คอ รู้ตัวอีกทีเลือดก็ซึมเปรอะเสื้อแล้ว “เป็นเสี่ยวเจิ้งพ่อค้าปลา!มันลักลอบขนพวกนินเงียวไปกับคาราวานสินค้าออกไปทางตะวันตก!” “ทิศตะวันตก...นครเอ็นเก็ทสึ?” มี่อิงพึมพำ จดจำข้อมูลเอาไว้ “ตอนนี้เสี่ยวเจิ้งคนนั้นอยู่ที่ไหน” “ไม่รู้โว้ย! เสี่ยวเจิ้งออกจากเมืองเสียนไปคราวนั้นก็ไม่กลับมาอีก ป่านนี้มันคงตายไปแล้วมั้ง!” “อย่างนั้นรึ” มี่อิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ก่อนจะหายตัวไปกับสายลมไม่ต่างจากภูตผี “ร้านทองพันชั่ง...ที่นี่หรือเจ้าคะ” มี่อิงส่งเสียงถามอย่างไม่แน่ใจนัก ขณะยืนมองป้ายร้านที่แขวนอยู่หน้าประตูใช้เวลาสามวันจากเมืองเสียนมาถึงนครเอ็นเก็ทสึ ซุยเรนพานางมาฝากตัวเข้าทำงานที่ร้านสุราเล็กๆแห่งหนึ่งในมุมอับของตรอกหยกเขียว เรื่องนี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เนื่องจากบางครั้งที่ซุยเรนออกไปทำงานหากไม่สามารถพา มี่อิงติดตามไปด้วยได้ นางก็จะถูกนำไปฝากไว้กับคนรู้จักของอาจารย์เป็นการชั่วคราว หนก่อนนางถูกฝากไว้กับคณะดนตรีในวังราชายักษา หนนู้นถูกฝากไว้กับภัตตาคารหรูที่แพคเจ นึกไม่ถึงว่าหนนี้จะเป็นร้านสุราคับแคบอับจนเช่นนี้ “ที่นี่แหละ” ซุยเรนกล่าวกับนางเสียงนุ่มนวล มือขาวละเอียดเลิกผ้าโปร่งบางสีขาวที่ห้อยลงมาจากปีกหมวกสานเผยให้เห็นรอยยิ้มในดวงตาเรียวงามสีเหลืองทอง “เห็นซอมซ่อไปหน่อยแต่อย่าเผลอดูถูกเชียวนะที่นี่เป็นร้านขายข่าวของคนเผ่าจิ้งจอกที่แฝงตัวอยู่ในเอ็นเก็ทสึด้วย เจ้าอยู่ที่นี่ต้องระวังตัวให้มากๆ เข้าใจไหม ”หญิงสาวพยักหน้ารีบเดินตามร่างปราดเปรียวที่เดินนวยนาดเข้าไปในร้านสุราเสี่ยวเอ้อหนุ่มน้อยปรี่เข้ามาเตรียมบริการ เพียงอาจารย์ของนางชูนิ้วชี้ขึ้นช้าๆฝ่ายนั้นก็รีบเดินหลบไปตามเถ้าแก่ที่หลังร้านในทันที ด้วยความที่ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับธุระของอาจารย์ มี่อิงจึงเดินขึ้นไปบนชั้นสองปลดหมวกออกนั่งลงที่โต๊ะไม้ริมระเบียง เบนสายตาออกไปชมคลองส่งน้ำใสสะอาดจิบชารอ สักพักซุยเรนก็เดินขึ้นมาพร้อมชายหน้าตาบูดบึ้งคนหนึ่งมี่อิงเคยคิดว่าเถ้าแก่ของร้านทองพันชั่งคงเป็นชายแก่ร่างอ้วนหน้าตาอิ่มเอิบ แต่นางคิดผิดมหันต์เถ้าแก่เป็นชายรูปงามเรือนกายผอมสูง สวมชุดสีเขียวเข้มตลอดร่างห้อยป้ายหยกไว้ที่เอวผมสีเงินเหมือนแสงจันทร์ถักเปียถูกไว้ด้วยเชือกสีแดงสด นัยน์ตาของเขามีสีเขียวอมเหลืองคล้ายตาสุนัขมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นปีศาจเผ่าจิ้งจอก “นี่น่ะหรือ เด็กที่เจ้าจะเอามาฝากไว้กับข้า” เถ้าแก่ถามพลางกระแทกตัวลงนั่งตรงข้ามมี่อิง “ใช่แล้ว นี่คือมี่อิงศิษย์ของข้า หนนี้ข้ามาทำงานอันตราย ไม่สะดวกพกพาลูกศิษย์ไปเสี่ยงภัยข้าขอฝากนางไว้ที่ร้านเจ้าสักหนึ่งสัปดาห์แล้วกันนะอาเหยียน ซุยเรนรินน้ำชาเอาใจสหาย นามไป๋เหยียน “ไม่รับ ข้าไม่ว่างดูแลเด็กทารก” เถ้าแก่ตอบเสียงห้วน “นางมิใช่ทารกสักหน่อย” ซุยเรนยิ้มหวาน แสร้งกลอกตามองรอบร้านสุราที่เงียบเหงาก่อนเอ่ยวาจาเชือดเฉือน “อีกอย่างนะอาเหยียน ร้านเจ้าจะเจ๊งอยู่รอมร่อ ครึ่งชั่วยามนี้ไม่เห็นมีลูกค้าเข้ามาสักคน แบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าไม่ว่าง” “นี่เจ้า!” เถ้าแก่ผู้โดนจี้ใจดำโกรธจัดจนเต้นผาง หูหางจิ้งจอกโผล่ตั้ง มี่อิงไม่คุ้นชินกับโทสะของคนต่างเผ่านางลูบพิณในห่อผ้าไหมด้วยความประหม่า ไม่นึกว่าไป๋เหยีนนจะหูตาไวเห็นเข้าพอดี “แม่นาง...เจ้าเป็นนักพิณหรอกรึ?” “มี่อิง เจ้าลองเล่นพิณให้เจ้าจิ้งจอกโง่นี่ฟังสักเพลงซิ” ซุยเรนพูดกับศิษย์รักแต่ก็มิวายลอบกัดสหายมี่อิงผู้เงียบขรึมเลือกตอบโต้ด้วยรอยยิ้ม นางยกพิณคู่กายขึ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้านิ้วเลื่อนไหลไปตามสายพิณเล่นทำนองเพลงฝนพรำ ชั่วขณะนั้นเมฆครึ้มดำพลันลอยมาบดบังแสงอาทิตย์ยามบ่ายฝนโปรยเม็ดลงมาให้บรรยากาศฉ่ำเย็น เสียงเพลงของนางดังก้องเผื่อแผ่ไปทั่วตรอกหยกเขียวผู้คนที่เดินอยู่แถวนั้นรู้สึกพิศวง ในเสียงเพลงเพราะแปลกหู ต่างเดินมาเมียงมองหน้าร้านสุราอย่างสนอกสนใจหลายคนเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีร้านสุราตั้งอยู่ตรงนี้ บางคนที่คุ้นเคยดีก็เข้ามานั่งสั่งสุราดื่มเหล้าไปฟังพิณไปก็ผ่อนคลายอารมณ์ได้ไม่เลวพอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วซุยเรนก็พลิ้วกายจากไปเงียบๆ ฝ่ายไป๋เหยียนที่นั่งตะลึงงันเพราะเสียงพิณอยู่พักใหญ่ ครั้นได้ยินเสียงคนจ้อกแจ้กก็พลันได้สติหันมามองมี่อิงด้วยแววตาเป็นประกาย “แม่นาง เล่นต่อไปอย่าหยุด!” เขาตะโกนบอกแล้ววิ่งตึงตังไปต้อนรับลูกค้า สีหน้าบูดบึ้งพลันเบิกบานเป็นดอกไม้ตลอดคืนนั้นร้านทองพันชั่งมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจนเถ้าแก่รับมือแทบไม่ไหว พอถึงเวลาปิดร้านเสียงพิณเงียบลงจิ้งจอกหน้าเงินอย่างไป๋เหยียนถึงกับยอมขูดรีดเลือดเนื้อตัวเองยกสุราเหมยแดงที่แพงที่สุดในร้านมาดื่มกับมี่อิงทันที หนึ่งปลา หนึ่งจิ้งจอกร่ำสุราชมจันทร์ บรรยากาศสงบสุขอย่างประหลาดมี่อิงเห็นกำแพงของไป๋เหยียนคลายลงกว่าเดิมมากจึงลองแหย่ถามสืบหาข้อมูลเล่น “ท่านไป๋เหยียน...ท่านอยู่นครเอ็นเก็ทสึมานานแล้วใช่ไหม ”“ใช่ ทำไมรึ” เถ้าแก่ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนล้วงคอขโมยข้อมูลลับอย่างไรชอบกล “ท่านพอจะรู้จักพ่อค้าปลาจากเมืองเสียนที่ชื่อเสี่ยวเจิ้งบ้างหรือเปล่า” “แม่นาง คิดจะหลอกถามอะไรจากข้าหรือ อาจารย์ของเจ้าคงบอกแล้วกระมังว่าที่นี่มิได้ขายแค่เหล้าถ้าอยากได้ข่าวเจ้าก็ต้องจ่ายค่าข่าวนะ” ไป๋เหยียนหรี่ตาทำหน้าเจ้าเล่ห์แบบจิ้งจอก “บางที...ถ้าเจ้ายอมเล่นพิณที่ร้านข้าสักเดือนสองเดือน ข้าอาจจะหาตัวเสี่ยวเจิ้งมาประเคนให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลยก็ได้” “เดี๋ยวนี้?” มี่อิงเลิกคิ้วท้าทาย “ถ้าท่านทำได้จริง ข้าจะเล่นพิณแถมให้อีกเดือน รวมเป็นสามเดือนเลยดีไหม” “ดี! เจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ามา” ไป๋เหยียนตบโต๊ะอย่างคึกคัก ร่างในชุดเขียวเผ่นหายไปครู่หนึ่งแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็กลับมาพร้อมชายใบหน้าอวบอูมแก้มแดงก่ำที่เมาหลับน้ำลายไหลยืด “นี่ใคร” มี่อิงกะพริบตามองอย่างงวย “เสี่ยวเจิ้ง พ่อค้าปลาไง” ไป๋เหยียนเท้าเอวตอบ “มันมานั่งกินเหล้าอยู่ในร้านข้าข้างล่างนี่เอง” “ท่านหลอกข้า?” มี่อิงร้องเสียงหลง จิ้งจอกหน้าเงินคงรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวเจิ้งอยู่ที่นี่เลยยื่นข้อเสนอนั้นมาให้นาง “ข้าไม่ได้หลอก เป็นเจ้าเองต่างหากที่รู้จักเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนน้อยเกินไป”ไป๋เหยียนยิ้มย่องถือวิสาสะยกหลังมือมี่อิงขึ้นดมกลิ่นสาบทะเลบนผิวขาวผ่อง “เจ้าเป็นนินเงียวจริงๆมิน่าเสียงพิณถึงได้มีมนตร์ขลังขนาดนั้น จะว่าไปแล้ว...ข้ารู้สึกคุ้นๆ กับกลิ่นนี้ชอบกลอาจเพราะเมื่อห้าปีก่อนข้าเคยได้กลิ่นนี้ลอยมาตามลมกระมัง” “ห้าปีก่อน?” มี่อิงลุกพรวดจากเก้าอี้อย่างร้อนรน “ท่านเคยได้กลิ่นนินเงียวมาจากที่ไหน” “เย็นไว้” ไป๋เหยียนยื่นหน้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าอยากฟังเรื่องที่ข้าบังเอิญสืบรู้มาใช่ไหมแม่นาง”มี่อิงมองสบดวงตาสีเขียวอมเหลืองตรงหน้าอย่างลังเลข้อเสนอของจิ้งจอกหน้าเงินคือหลุมพรางที่ล่อหลอกนางอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ถ้าได้ข่าวที่มีประโยชน์ต่อการแก้แค้นให้ครอบครัว ใยนางจะไม่ลองเสี่ยงดูเล่า? “ข้าต้องเล่นพิณให้ท่านอีกกี่เดือนเพื่อแลกกับสิ่งที่ท่านรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน” “ข้าต้องการห้าปี” ไป๋เหยียนตอบทันควันความจริงแล้วข่าวของเผ่านินเงียวไม่สลักสำคัญพอจะเรียกค่าตอบแทนใดๆ ด้วยซ้ำเพียงแต่ร้านทองพันชั่งตั้งอยู่บนทำเลเลวทรามมานานปี คนไม่เข้าผีไม่เยือน รายได้จากการขายสุราต่ำเตี้ยเรี่ยดินแม้ว่ารายได้หลักของไป๋เหยียนจะมาจากการขายข่าวสาร แต่การต้องเปิดร้านเหล้าไว้ให้แมลงวันตอมเล่นไปรอวันเจ๊งเป็นสิ่งที่จิ้งจอกงกเงินอย่างเขาทนดูไม่ได้จริงๆดังนั้นต่อให้ถูกประณามว่าโก่งค่าข่าวกับสาวงามแบบหน้าด้านๆ เขาก็ยินดี “มากไป อาจารย์ของข้าไม่ยอมให้ท่านรั้งตัวข้าไว้นานขนาดนั้นหรอก” “เมื่อฟังจบแล้ว บางทีเจ้าอาจจะอยู่เล่นพิณตอบแทนข้านานกว่านั้นอีก”

‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...‘ มีเศรษฐีนีคนหนึ่งนามว่าหม่าฝู่เผิง นางเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารทะเลที่ตั้งอยู่บนทำเลทองในตรอกหยกเขียวธุรกิจของหม่าฝู่เผิงเป็นไปด้วยดี นับวันมีแต่เจริญรุ่งเรือง ผิดกับร่างกายของนางที่นับวันชักจะแก่ชราลงทุกปี ‘ด้วยความโลภมากและเห็นแก่ตัว หม่าฝู่เผิงอยากอยู่เสพทรัพย์สมบัติไปชั่วนิจนิรันดร์นางจึงร้อนรนหาทางให้ตัวเองมีอายุยืนยาวเป็นอมตะ ไม่ว่าวิธีนั้นจะสกปรกชั่วช้าแค่ไหน หม่าฝู่เผิงก็ยินดีลิ้มลอง‘วันหนึ่ง หม่าฝู่เผิงได้ยินว่ามีชายแก่ใกล้ตายช่วยชีวิตนินเงียวเอาไว้จากอวนตาข่าย นินเงียวตนนั้นตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยเลือดเนื้อตน หลังจากชายแก่กินเนื้อนินเงียวลงท้องร่างกายที่เคยทรุดโทรมก็แข็งแรงขึ้นมาในฉับพลัน ชายแก่ไม่ตายตามอายุขัย มิหน่ำซ้ำยังไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย... ‘ได้ยินดังนั้น หม่าฝู่เผิงจึงสั่งให้คนไปหาเนื้อนินเงียวมาให้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปหาเนื้อนั้นที่ไหน หม่าฝู่เผิงร้อนใจนัก นางเพิ่มค่าหัวครึ่งมัจฉาจนสูงลิบลิ่วล่อตาล่อใจผู้คนให้หาสิ่งของที่นางต้องการมาให้ ‘เสี่ยวเจิ้ง พ่อค้าปลาที่หากินกับทะเลมานานพอทราบเรื่องเข้าก็ดีใจจนเนื้อเต้นครั้งหนึ่งมันเคยเห็นนินเงียวหนุ่มลอยตัวขึ้นมาชมดอกฮิกังบานะที่ทะเลตะวันออกเสี่ยวเจิ้งรู้ทันทีว่านี่คือโชคมหาศาลของมัน พ่อค้าปลาใจละโมบปรี่ไปหาหม่าฝู่เผิง ขอรับค่าจ้างก้อนหนึ่งนำไปเช่าสำเภาและจ้างมือสังหารหมู่บ้านเนโกะไปล่าเนื้อนินเงียว ‘ใช่แล้ว...มันทำสำเร็จ เสี่ยวเจิ้งร่ำรวยมหาศาลไม่เคยกลับไปทำงานเป็นพ่อค้าอีกเลยส่วนหม่าฝู่เผิงก็ได้ลิ้มชิมรสยาอมตะในตำนานสมใจอยาก ทุกวันนี้นางยังคงใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองอย่างมีความสุข’

“วันนี้เป็นวันเกิดของท่าน ผู้น้อยอย่างข้าขอมอบบทเพลงให้ท่านสักเพลงได้ไหมเจ้าคะ”มี่อิงปั้นเสียงฉอเลาะใส่หญิงร่างท้วมที่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งไม้ตัวใหญ่กลางงานเลี้ยงหรูหราผู้คนมากมายจับตามองนางพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงมีหน้ามีตาซึ่งเป็นสหายสนิทของเศรษฐีนีผู้นี้ ด้วยกันทั้งนั้น “เอาสิ ถ้าเล่นดี ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” หญิงร่างท้วมนางนั้นตอบ ใบหน้าอวบอูมอาบแสงแห่งความสุขตรงหน้านางมีโต๊ะกลมที่มีอาหารวางเรียงรายละลานตา ทั้งกุ้งยักษ์สีแดงสด หูฉลามน้ำแดง ซุปหอยเป่าฮื้อปลานึ่งตัวเท่าลูกวัว แล้วไหนจะลูกท้อสีชมพู ส้มมงคล สาลี่ฉ่ำกรอบ และขนมหวานพวกมันล้วนจัดวางไว้อย่างประณีตบรรจง มี่อิงแย้มยิ้มงดงาม เอียงกายคารวะอย่างแช่มช้อย นางนั่งลงริมระเบียงที่มีสายฝนตกพรำอยู่เบื้องหลังวางพิณเจ็ดสายไว้ตรงหน้า ตั้งสมาธิแน่วนิ่งก่อนเริ่มบรรเลงเพลงสมุทรครวญที่ นินเงียวตนใดได้ยินล้วนต้องคิดถึงท้องทะเลที่เป็นบ้าน หญิงสาวครึ่งมัจฉาเอง...ก็กำลังคิดถึงบ้านที่จากมาเช่นกัน นางปล่อยให้น้ำตาหยดไหลอาบแก้ม คิดถึงพ่อแม่คิดถึงดอกไม้สีแดงสดสวย และคิดถึงทะเลตะวันออกที่แสนสุขสงบในขณะที่บทเพลงกำลังบีบให้เกล็ดสีแดงเพลิงของนางปรากฏขึ้นที่เรียวขา กระทั่งสองขาพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นหาง “นี่เจ้าเป็น...?” เศรษฐีนีหม่าฝู่เผิงเบิกตากว้างเพ่งมองนางทว่าไม่นานร่างอวบท้วมและผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงกลับทรุดลงไปที่พื้น พวกมัน...ผู้คนที่เคยลิ้มรสเนื้อนินเงียวทุกคนกำลังดีดดิ้นเร่าอย่างเสียสติด้วยความเจ็บปวด ลำคอแห้งผากหิวกระหายน้ำร่างกายเปลี่ยนแปลง สองขาแนบติดบิดเบี้ยว เกล็ดปลาผุดเต็มผิวหนัง เสียแต่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ พวกมันแปลงร่างไม่ได้สุดท้ายจึงติดค้างครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในร่างพิกลพิการอัปลักษณ์มี่อิงหยุดเล่นเพลง รอให้เกล็ดบนขาค่อยๆ เลือนหายก่อนเดินอ้อมไปที่อีกฟากห้อง หลังฉากกระดาษฉลุลายมัจฉาหญิงสาวเผ่าแมวหน้าสะสวยที่นางคุ้นตา บัดนี้มีร่างกายพิกลพิการไม่ต่างกับเศรษฐีนีหม่าฝู่เผิงผู้เป็นนายจ้าง ซุยเรนดิ้นบิดตัวอย่างทุกข์ทรมาน เนื้อเงือกที่เคยได้ลิ้มชิมพร้อมนายจ้างออกฤทธิ์ร้ายแรงดั่งยาพิษ ชายกระโปรงสีม่วงครามเลิกขึ้นสูงถึงโคนขามองเห็นรอยสักรูปดอกบัวบานสีดำสนิท... ลายเดียวกับดอกบัวบนมีดสั้นของชายที่ฆ่าครอบครัวนางไม่มีผิด “อาจารย์...” มี่อิงคุกเข่าลงข้างซุยเรน “ทำไมถึงโกหกข้าเจ้าคะ” “เจ้าจำ...ชายที่ที่ฆ่าครอบครัวเจ้าได้ใช่ไหม” ซุยเรนขยับปากถามอย่างยากลำบากเสียงที่ออกมา กระท่อนกระแท่นฟังยากเพราะเกล็ดทิ่มแทงอยู่บนลำคอ “นั่นน่ะคือน้องชายของข้ามันตาย...หลังจากถูกเจ้าฟันหน้า เจ้า...อยากแก้แค้นให้ครอบครัว ตัวข้าเองก็เช่นกัน...” มี่อิงพูดไม่ออก น้ำตากลบมิดสองตาจนมองอะไรไม่เห็น นางพยักหน้า จริงอย่างที่ ไป๋เหยียนว่านางไม่ได้ถูกใครหลอกหรอก เป็นนางเองต่างหากที่รู้จักเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนน้อยเกินไปน่าเสียดายที่ต่อให้แค้นแค่ไหน มี่อิงก็ไม่อาจทนมองซุยเรนทุกข์ทรมานได้ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เคยเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้นางตัดสินใจเสือกมีดสั้นด้ามแกะสลักลายดอกบัวเข้าที่หัวใจของซุยเรนปลดปล่อยวิญญาณออกจากร่างกายที่พิกลพิการให้เป็นอิสระ “อภัยให้ศิษย์อกตัญญูผู้นี้ด้วย” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเทาแต่นุ่มนวลนางคุกเข่าคำนับอำลาร่างอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินโซเซฝ่าสายฝนและกลิ่นคาวเลือดกลับมาที่ร้านสุราทองพันชั่งนับแต่นั้นเป็นต้นมา... มี่อิงก็กลายเป็นนักดีดพิณของที่นั่นอย่างถาวร

 

¹ ในเวลากลางคืน ชาวจีนแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 5 ยาม ยามละ 2 ชั่วโมง ยามสามคือเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง

Follow Us
No tags yet.
Search By Tags
Archive
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page